วิจารณ์วรรณกรรม
รางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ ๒ เรื่อง เหนือคมพยัคฆ์
เรื่องสั้น
เหนือคมพยัคฆ์ ของชิด ชยากร ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า
ครั้งที่ ๒
โดยชนะเลิศในหมวดเรื่องสั้นการเมือง (ประเภทประชาชน)
รางวัลพานแว่นฟ้า
เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ ๒ พุทธศักราช ๒๕๔๖
ซึ่งรางวัลพานแว่นฟ้าคือ การประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้นและบทกวีทางการเมือง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพแสดงออกทางการเมือง โดยใช้ศิลปะในการเขียนถ่ายทอดความรู้สึกสะท้อนภาพการเมืองหรือจินตนาการถึงการเมืองในอุดมคติ
ซึ่งรางวัลชนะเลิศในปีนี้คือเรื่อง “เหนือคมพยัคฆ์”
ที่สะท้อนภาพระบบการเมืองการปกครอง สังคม วัฒนธรรม
และการใช้ชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์และมีนัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื้อเรื่องย่อ
เหนือคมพยัคฆ์
เป็นเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองคนหนึ่งชื่อว่า ยุทธภูมิ
เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า
หลังจากที่ยุทธภูมิไปประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล
เขาก็ได้นั่งรถกลับบ้าน ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในรถเขาก็คิดและปล่อยวางกับเรื่องนโยบายนี้ที่มันทำให้เขายุ่งยากใจ
เพราะบุคคลเหล่านี้มักจะสร้างบารมีมาด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีหน้ามีตาในสังคม ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ
ถ้าเขากระทำอะไรซักอย่างที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อพวกเขา นั่นก็คือเขาได้สร้างศัตรูไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย
เมื่อความเหนื่อยล้าก้าวเท้าเข้ามาทำให้เขานอนหลับไป
รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็ตอนที่รถมาถึงประตูหน้าบ้าน
แต่ที่หน้าบ้านของเขาก็มีเหตุการณ์ชุลมุนอยู่กับใครซักคนหนึ่ง มีนักข่าวสามสี่คนมาสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าบ้านและถ่ายรูปกันวูบวาบ
เขาจึงได้ถามคนขับรถว่ามีเรื่องอะไร คนขับรถบอกว่าสงสัยจะเป็นพวกติดยากำลังอาละวาด
เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็คงจะมาจัดการ
ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวเข้าบ้านเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปไปมอง
เมื่อเขาเห็นแววตาของชายร่างโทรม สกปรก มอมแมมคนนั้นแล้ว
เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอยู่ไม่น้อย
เขาจึงบอกให้คนขับรถจอดรถและเดินเข้าไปหาชายร่างโทรมคนนั้น
ทันทีที่ชายคนนั้นเห็นยุทธภูมิ เขาก็ตะโกนลั่นถามว่า “ท่านครับ…จำผมได้ไหม” ยุทธภูมิเพ่งมองร่างขะมุกขะมอมนั้นและทำให้เขาคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
ใช่แล้ว… เขานั่นเอง ร่างโทรมนั้นโผเข้ากอดยุทธภูมิทันที
ภาพชายสองคนกอดกันกลมบนถนนสาธารณะ
สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมากเพราะหนึ่งในนั้นคือรัฐมนตรีว่าการการกระทรวงมหาดไทย
ชายร่างโทรมนั้นทำให้เขานึกถึงวันที่กว่าที่เขาจะได้เป็น ส.ส.
ที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ชนะการเลือกตั้ง
เมื่อได้ตำแหน่งมาก็ต้องสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
ยุทธภูมิได้สนับสนุนค่ายมวยแห่งหนึ่ง โดยให้นักมวยใช้ชื่อค่ายว่า “เกียรติศักดิ์ยุทธภูมิ” และมีรองแชมป์โลกมวยสากลชื่อ
“คมพยัคฆ์ เกียรติศักดิ์ยุทธภูมิ” นับวันเขี้ยวเล็บของคมพยัคฆ์ก็ยิ่งแหลมคม
แต่แล้ววันหนึ่ง
คมพยัคฆ์ก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บและสละแชมป์ลงจากบัลลังก์ไปและก็เงียบหายไปเกือบยี่สิบปี
แต่วันนี้ ยุทธภูมิได้พบเขาอีกครั้งในสภาพคล้ายคนบ้า
ความหดหู่ใจคือความรู้สึกแรกที่บังเกิด แต่ก็มีอีกความรู้สึกแทรกเข้ามาคือ
ใช้เขาทำให้ชื่อเสียง และคุณงามความดีกลับมา ภาพรัฐมนตรีนั่งคุกเข่ากับพื้นกอดกันกลมกับชายไร้สารรูปซึ่งมอมแมมดั่งคนบ้า
ถูกหนังสือพิมพ์ตีข่าวหลายฉบับ เหตุการณ์เป็นไปตามที่เขาคิดไว้
คมพยัคฆ์นั้นนอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
และเขาก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่าเขาจะเป็นผู้ดูแลคมพยัคฆ์และจะไม่ทอดทิ้งคมพยัคฆ์จนวาระสุดท้ายของชีวิต
แต่ในความเป็นจริงเขาดูแลคมพยัคฆ์เพราะต้องการจะใช้ประโยชน์และพูดขึ้นมาว่า “ฉันจะดูแลแกเอง…คมพยัคฆ์
ดูแลแกในฐานะรัฐมนตรีที่มีความเป็นนักการเมืองเต็มกมลสันดาน”
นักการเมือง
กับการทุจริตที่ไม่สิ้นสุด
เหนือคมพยัคฆ์
เป็นเรื่องสั้นที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางการเมือง
สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของการเมืองในหลายแง่มุม
ซึ่งผู้แต่งได้สื่อให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของนักการเมืองไทยและยังสื่อให้เห็นถึงปัญหาในสังคมที่เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน
ที่มีคุณค่าแก่การนำแง่มุมเหล่านั้นมาวิเคราะห์ โดยแนวคิดที่ได้มีประเด็นดังนี้
แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองในสังคมไทยและแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล
การที่ยุทธภูมิต้องเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีในเรื่องของนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลในสังคมไทยนั้น
ทำให้เขาเกิดความรู้สึกลำบากใจ
รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้เพราะนักการเมืองเหล่านั้นมักจะมีบารมี
เป็นคนใหญ่คนโตและมีหน้ามีตาในสังคม การที่ยุทธภูมิจะเข้าไปกระทำการอะไรซักอย่างกับบุคคลเหล่านี้
ย่อมจะทำให้เป็นศัตรูกับบุคคลเหล่านี้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ตาม ดังเนื้อเรื่องที่ว่า
“นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลบนผืนแผ่นดินเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยุ่งยากใจ
เพราะบุคคลเหล่านี้มักจะสร้างบารมีเติบใหญ่มาด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ซึ่งหลายคนล้วนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
การที่ผมจะทำอะไรลงไปสักอย่างที่มีผลกระทบต่อพวกเขา นั่นย่อมหมายถึงเป็นการสร้างศัตรูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตและฉ้อโกงในคณะรัฐบาล
การทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ
เป็นเรื่องของการใช้อํานาจ หรืออิทธิพลใน
ตําแหน่ง หน้าที่ราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้มีอํานาจกระทําการต่างๆ
แทนรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นผู้รักษาประโยชน์ร่วมกันของมหาชนอํานาจเหล่านี้ไม่ได้ผูกติดกับตัวบุคคล แต่มาจากสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นกลไกของรัฐบาลในการดําเนินงานเพื่อส่วนรวม
ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไป
เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ญาติพี่น้อง พรรคพวกหรือเห็นแก่ความมั่งคั่ง
และสถานภาพที่จะได้รับหรือทําให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือราชการ ต้องถือว่าเป็นการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราช
การ (อุดม รัฐอมฤต,2530 อ้างถึงใน สํานักงาน ก.พ., 2544 : 3(4)) ซึ่งผู้แต่งได้นำเสนอทัศนะของตนเองที่มีต่อปัญหาการทุจริต
ฉ้อโกงทางการเมืองของรัฐบาลในปัจจุบันว่าในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลชุดนี้หาคนที่จะไม่ฉ้อโกง
ทำงานด้วยความซื่อสัตย์และเดินในทางที่ขาวสะอาดนั้นยากเพราะบางคนก็สร้างอำนาจทางการเมืองขึ้นด้วยการกระทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย
มีแต่คนใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงเพื่อจะคงไว้ซึ่งตำแหน่งหรือเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้ตนเอง
ต้องมีจิตใจที่โหดเหี้ยม
ไม่สามารถเชื่อใจใครได้เพราะต่างคนต่างจ้องที่จะหาผลประโยชน์ ดังเนื้อเรื่องที่ว่า
“ผมเชื่อว่าในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ยากจะหาใครซักคนที่เดินบนถนนสายการเมืองด้วยความสะอาด
ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมกลโกง การเดินบนถนนสายนี้เขี้ยวเล็บต้องแหลมคม
สายตาต้องกว้างไกล และหัวใจต้องโหดพอพึงรำลึกอยู่เสมอว่า ที่นี่ไม่มีมิตรแท้
ไม่มีศัตรูที่ถาวร ข้อสำคัญพึงต้องยึดถือว่า การตระบัดสัตย์เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ”
แนวคิดเรื่องปัญหาสังคมไทยในปัจจุบันที่เป็นปัญหาเรื้อรัง
สังคมไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ผู้คนในสังคมมีการเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ไปจากเดิม
และสถาบันทางสังคมก็ทำหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม
ปัญหาสังคมไทยมีอยู่มากมายหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กและเยาวชน ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจน
ปัญหาผู้พิการ เป็นต้น ซึ่งผู้แต่งได้สื่อให้เห็นถึงภาพสะท้อนในสังคมเมืองหลวงในปัจจุบันที่เป็นปัญหาเรื้อรังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไปได้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนติดยา เรื่องคนพิการที่มาขอทาน โดยผู้แต่งได้เน้นภาพสะท้อนเรื่องคนบ้า
คนติดยา ให้ชัดเจนเพราะตัวละครในเนื้อเรื่องเป็นคนยากจน เนื้อตัวมอมแมม
โวยวายเหมือนคนบ้า ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มีให้เห็นแทบทุกซอกทุกมุมในกรุงเทพฯ
สังคมตกอยู่ในอาการฟอนเฟะ และปัญหาแบบเดียวกันนี้
ไม่ได้มีเฉพาะในสังคมเมืองหลวงเท่านั้น
แต่ปัญหาแบบนี้ยังมีให้เห็นในทุกพื้นที่ของต่างจังหวัดในประเทศไทยอีกด้วย
ซึ่งทางภาครัฐต้องเร่งแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เร่งแก้ปัญหาทางสังคมที่เลื่อมล้ำให้ค่อยๆหมดไปหรือค่อยๆลดน้อยลง
ดังเนื้อเรื่องที่ว่า
“สงสัยจะเป็นพวกคนบ้าหรือพวกติดยาครับท่าน มันกำลังอาละวาด
ประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่คงจัดการได้เรียบร้อย … ภาพชีวิตคนบ้า
คนติดยาและคนไม่สมประกอบทั้งทางสมองและร่างกาย มีให้เห็นแทบทุกมุมของกรุงเทพฯ
สังคมร่วมของเมืองหลวงทุกยุคทุกสมัย ล้วนตกอยู่ในอาการฟอนเฟะ ซึ่งทุกพื้นที่ของต่างจังหวัดทั่วประเทศก็ไม่แตกต่างกัน”
แนวคิดเรื่องการสร้างภาพของนักการเมืองไทย
เพื่อให้ตนเองดูเป็นคนดีในสายตาสาธารณชน
โดยทั่วไปแล้ว ภาพลักษณ์ของบุคคลในสายตาของคนส่วนใหญ่
คือภาพที่มีต่อความรู้สึกนึกคิดที่จะเกิดขึ้นได้จากความเชื่อถือและศรัทธาของประชาชน
ทั้งนี้ ภาพลักษณ์ของบุคคลขึ้นอยู่กับประสบการณ์ข้อมูลหรือข่าวสารที่สาธารณชนได้รับ
โดยจะประทับใจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรม จากเหตุผลที่กล่าวมา ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
(เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ, 2533)
การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีนั้นควรเกิดจากข้อเท็จจริงและกิจกรรมหรืองานที่ทำกันอยู่เป็นประจำโดยไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
แต่ต้องวางแผนการสื่อสารสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นระบบแบบแผนถูกต้องเป็นไปตามความจริง เพราะการปล่อยให้เกิดภาพลักษณ์เป็นไปโดยธรรมชาติ อาจทำให้ลักษณะที่แท้จริงขององค์กร หรือตัวบุคคลที่ปรากฏสู่สายตาประชาชนบิดเบือน
เหมือนในเนื้อเรื่องที่ผู้แต่งต้องการสื่อกล่าวคือ การที่ชายร่างโทรมเนื้อตัวมอมแมมคนนั้นได้โผเข้ากอดยุทธภูมิทันทีที่เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของยุทธภูมิได้ปล่อยตัวเขานั้น
ทำให้ยุทธภูมิรู้สึกรังเกียจชายสกปรกมอมแมมคนนั้นมาก
แต่ด้วยเหตุที่ว่ามีนักข่าวและประชาชนสัญจรผ่านไปมาเห็นเยอะ เลยทำให้ยุทธภูมิเลือกที่จะกอดชายร่างโทรมคนนั้นไว้
แต่ความจริงในใจของยุทธภูมิได้รู้สึกรังเกียจและเหม็นสาบชายสกปรกคนนี้เต็มทน
แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงและรักษาหน้าตาในวงสังคม เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดออกมา
ทำได้แค่คิดในใจ ดังตอนที่ว่า
“บัดซบ… ความรู้สึกแรกที่สัมผัสจมูกผมคือ
กลิ่นเหม็นสาบน่าวิงเวียนคลื่นเหียนอย่างที่สุด
กลิ่นนั้นมันออกมาจากชายคนที่กำลังโอบกระหวัดรัดผม
สูทสีน้ำเงินยี่ห้อดังจากเมืองนอกตัวที่ผมใส่ คงจะเปรอะเปื้อนสิ่งโสโครก
จนผมไม่แน่ใจว่าจะกล้าใส่ในวันข้างหน้าอีกหรือไม่ บัดซบ….มันเหม็นจริงๆ”
แสงแฟลชวูบวาบ
เสียงกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปดังขึ้น มันทำให้กลิ่นสาบสางในใจผมลดลงไปได้บ้าง
แนวคิดเรื่องการทุจริตฉ้อโกง
ในการเลือกตั้งสมาชิสภาผู้แทนราษฎรท้องถิ่น
ผู้แต่งสื่อให้เห็นถึงทัศนะการคิดเรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส. ท้องถิ่นว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนั้นได้มา
เพราะความนิยมของพรรคการเมืองที่สังกัด เงินทอง ชื่อเสียงในการดึงฐานะคะแนนเสียง
หรือมารยาสาไถยต่างๆที่จะขุดขึ้นมาทำทุกทาง
เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและหน้าที่ทางการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรม
ไม่โปร่งใสในการเลือกตั้งยิ่งถ้าเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไม่ค่อยเข้มงวดแล้วนั้นทางผู้สมัครยิ่งกระทำการทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกและได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดังตอนที่ว่า
“ผมเป็น ส.ส. สอบตกมาสองสมัย
นั่นเป็นเพราะสังกัดพรรคการเมืองที่อยู่นอกกระแสความนิยมเล่ห์เหลี่ยมเชิงชั้นทางการเมืองยังอ่อนด้อย
แต่พอสมัยที่สามผมได้เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองยอดนิยมแห่งยุคนั้น
มีเงินทองมากพอที่จะลงทุนดึงคะแนนเสียงมากขึ้น
ข้อสำคัญมารยาสาไถยสารพัดในการทำให้ตนเองมีชัยในการเลือกตั้ง
ได้ถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ผมจึงสามารถเดินทางเข้าสู่สภาอันทรงเกียรติได้อย่างเต็มตัว
แม้จะมีริ้วรอยในหัวใจบ้างว่า ก้าวเข้ามาอย่างไม่บริสุทธิ์นักก็ตามที”
และเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็จะต้องดำรงรักษาตำแหน่งนั้นไว้
เพื่อจะได้มาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้นและเงินตราที่มากขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การเมืองไทยนั้นได้มีการทุจริตและฉ้อโกง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด
ผู้คนทางสังคมต่างยำเกรง ใช้คนในสังคมเป็นเครื่องมือเพราะบางคนมอบความเกรงอกเกรงใจให้นักการเมืองที่มีหน้ามีตาทางสังคม
ดังตอนที่ว่า
“ช่วงนั้นผมอยู่ในฐานะ ส.ส.
ธรรมดา ไม่มีตำแหน่งใหญ่โตในคณะรัฐบาล รายได้จึงไม่มากเหมือนชื่อเสียงที่เริ่มโด่งดัง
ชื่อเสียงของผมเดินทางมาก่อนเงินตรา
ผมใช้ความมีหน้ามีตาในสังคมกลบเกลื่อนพิรุธการมอบสร้อยปลอมโดยไม่มีข้อสงสัย
บุคคลต้องสงสัยของสังคมย่อมจะเป็นนายห้างขายยา ขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากกว่า”
และสื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่ง มั่นคงทางการเงินของนักการเมืองหลังจากที่ได้รับตำแหน่งแล้ว
ใครๆก็อยากจะมาเป็นนักการเมือง
เพราะต้องการที่จะมีอำนาจและสร้างความเป็นปึกแผ่นทางการเงิน ดังตอนที่ว่า
“ช่วงนั้นหน้าที่การงานของผมเจริญรุดหน้าไปอย่างยิ่งยวด
ผมได้เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเล็กๆกระทรวงหนึ่ง รายได้ผมมากขึ้น”
อัตลักษณ์ของนักการเมืองไทย
ผู้แต่งได้สื่อให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของนักการเมืองไทยว่า
การหาผลประโยชน์จากคนที่อ่อนแอกว่า
คือการนำความอ่อนแอของผู้อื่นมาสร้างให้เป็นผลประโยชน์ให้ตนเอง เช่นเดียวกับยุทธภูมิที่นำสภาพชีวิตที่น่าสงสารของคมพยัคฆ์
ผู้ที่เคยมีส่วนทำให้ตนเองประสบความสำเร็จมาแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองของตนและสร้างผลประโยชน์ให้ตนเอง
ดังตอนที่ว่า
“ผมคิดว่า…ผมกำลังพบกับจุดประกายที่พอจะขยายผลประโยชน์ในด้านชื่อเสียงให้กับตัวเองได้
รัฐมนตรีผู้ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤตปัญหาทางการเมืองบางประการ
ผมถูกโจมตีในเรื่องผลงานจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
การมาพบกับคมพยัคฆ์ในครั้งนี้อาจจะทำให้ชื่อเสียงและคุณงามความดีของผมกลับคืนมาได้บ้างไม่มากก็น้อย”
การสร้างภาพของนักการเมือง
นักการเมืองพยายามที่จะนำเสนอภาพลักษณ์ผ่านสื่อต่างๆ
เช่น การพบปะประชาชนในพื้นที่การใช้โปสเตอร์ ใบปลิว หรือแผ่นพับที่ให้ข้อมูลถึงประวัติการทำงาน การศึกษา
รวมถึงภาพการทำงานเพื่อประชาชน อย่างไรก็ดี การนำเสนอในวงกว้างย่อมได้ผลที่ดีกว่า
ดังนั้นนักการเมืองจึงนิยมใช้สื่อ มวลชนในการสร้างและเสนอภาพลักษณ์ เพราะสื่อมวลชนมีบทบาทและหน้าที่ในการกระจายข้อมูลข่าวสารถึงประชาชนได้ในวงกว้าง
นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังเป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์นโยบายของกลุ่มการเมือง คุณสมบัติงานที่ผ่านมา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งและตัดสินใจเลือกบุคคลหรือกลุ่มการเมืองในต่อไป
ดังตอนที่ว่า
“ภาพรัฐมนตรีใส่สูทราคาแพงนั่งคุกเข่ากับพื้นถนน กอดกันกลมกับชายไร้สารรูปซึ่งมอมแมมดั่งคนบ้า
ถูกหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์หลายฉบับข่าวอดีตแชมป์โลกตกยากกลายเป็นข่าวเด็ดกลบข่าวอื่นไปหมด
เหตุการณ์ของข่าวสารเป็นไปอย่างที่ผมคิด”
และผลการที่ยุทธภูมินั้นได้สร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองจะดูแลคมพยัคฆ์
จะไม่ทอดทิ้งเพราะคมพยัคฆ์เคยเป็นคนที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาตินั้น ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่านักการเมืองยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาถึงชื่อเสียงอย่างแท้จริง
ดังตอนที่ว่า
“จำเป็นครับ… ผมต้องดูแลคมพยัคฆ์ให้ดีที่สุด
เขาเป็นคนของประชาชน เป็นวีรบุรุษผู้เคยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ เขาย่อมเป็นสมบัติของแผ่นดิน
ภาพของเขาที่ทุกท่านเห็นอยู่ขณะนี้เป็นผลพวงมาจากการต่อสู้ในอดีต
ผมเชื่อว่าทุกคนจะไม่ลืมเขาเป็นอันขาด… ผมก็เช่นกัน
ผมไม่อาจทอดทิ้งคมพยัคฆ์ เกียรติศักดิ์ยุทธภูมิ ผมให้สัญญากับทุกท่านและคนไทยทั้งชาติไว้
ณ ที่นี้ หากแม้วันใดผมสิ้นลมหายใจ วิญญาณผมก็จะติดตามพิทักษ์ดูแลเขาตลอดไป
ยอดนักมวยผู้นี้เจ็บปวดมามากแล้ว เขาควรที่จะสุขสบายต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต”
“ฉันจะดูแลแกเอง…คมพยัคฆ์ ดูแลแกในฐานะรัฐมนตรีที่มีความเป็นนักการเมืองเต็มกมลสันดาน”
แม้ว่านักการเมืองหลายคนพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเอง
แต่ก็ประสบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เพราะสารที่ส่งไปยังสาธารณชนเป็นเพียง “การสร้างภาพ” แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ท้ายที่สุดความเป็นตัวตนที่แท้จริงก็ปรากฏสู่สาธารณชน ในการนี้สื่ออินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผ่านทางชุมชนออนไลน์และทำให้เห็นพัฒนาการของการสื่อสารทางการเมืองของประเทศไทย
ซึ่งเริ่มจากการสื่อสารแบบทางเดียวมาเป็นการสื่อสารแบบสองทาง และมีการโต้ตอบทางการสื่อสารมากขึ้น
และการสื่อสารทางการเมืองจากที่รัฐเป็นผู้กุมอำนาจเพียงผู้เดียวมาสู่การที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นนักการเมืองที่มีคุณภาพทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองด้วยความทุ่มเทซื่อสัตย์สุจริต
ก็จะได้รับการยกย่องสรรเสริญและชื่นชมจากประชาชน ในทางตรงกันข้ามหากนักการเมืองประพฤติไม่สอดคล้องกัน
“ภาพ” ที่พยายาม “สร้าง”ขึ้นมาสื่อออนไลน์ก็จะตีแผ่สิ่งนั้นออกสู่ประชาชนทั่วไป
(บัญญัติ คำนูณวัฒน์, 2555)
สรุป
เรื่องสั้น เหนือคมพยัคฆ์ สะท้อนความเป็นนักการเมือง สะท้อนเรื่องของการเมืองในมุมมองต่างๆได้อย่างเข้มข้น
ชวนน่าติดตาม เสนอแนวคิดที่เกี่ยวกับการทุจริต คอร์รัปชั่นของวงการการเมือง
อัตลักษณ์ของนักการเมือง ทั้งเรื่องการหาผลประโยชน์ใส่ตัว
การสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมืองที่มีผลต่อการเมืองในปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
รัฐสภาและสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย.
(๒๕๔๗). วรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า
ครั้งที่
๒.
กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.
อริสา เหล่าวิชยา.
๒๕๕๖. ภาพลักษณ์นักการเมือง. [ออนไลน์]. จาก http://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_journal/april_june_13/pdf/aw08. pdf สืบค้นเมื่อ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น